รู้จัก 3 โรคจาก ความเสื่อมของร่างกาย ที่ป้องกันได้

รู้จัก 3 โรคจาก ความเสื่อมของร่างกาย ที่ป้องกันได้

โรคที่เกิดจาก ความเสื่อมของร่างกาย ที่ป้องกันได้

โรคจาก ความเสื่อมของร่างกาย คุณรู้ได้อย่างไรว่าเสื่อม

คนเราปกติมักสามารถทำกิจกรรมได้อย่างมีคุณภาพตามหลักพื้นฐานของปัญจกิจ ได้แก่ กิน นอน พักผ่อน ออกกำลังกาย และทำงาน แต่เมื่อวัยเพิ่มขึ้นจนแตะมาตรฐานสังคมที่บอกไว้ว่า คนที่มีอายุเลยวัยเกษียณคือ 60 ปี (ปัจจุบันลดลงเหลือ 55 ปี) ก็ให้ถือได้ว่าเป็นวัยผู้สูงอายุ แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องสุขภาพก็ใช่ว่าจะวัดกันที่อายุ บางคน 60 แล้วยังแข็งแรง สุขภาพดี แต่บางคนอายุยังไม่ทันถึง 30 กลับป่วยกระเสาะกระแสะ

หากยังไม่แน่ใจว่าร่างกายตัวเองเสื่อมหรือยัง สามารถสังเกตได้จากสิ่งต่อไปนี้

ทำงานได้น้อยลง งานที่เคยทำเป็นปกติทุกวันก็มักจะใช้เวลาในการทำงานมากขึ้น เนื่องจากสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนก่อน

หลงๆ ลืมๆ อาการหลงลืมเป็นอีกสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่าเวลาของคุณมาถึงแล้ว เมื่อใดที่คุณเริ่มนึกชื่อเพื่อนหรือญาติที่ไม่ได้เจอกันนานไม่ออก ลืมของที่ใช้อยู่เป็นประจำ เช่น แว่นตา หมวก ไม้เท้า ก็ให้มั่นใจได้เลยว่าความเสื่อมมาเยือนคุณแล้ว

ไม่สบายบ่อยๆ เนื่องจากร่างกายถูกใช้งานมาเป็นเวลานานจึงทำให้สึกหรอ เมื่อไม่สบายบ่อยๆ และเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูก ความดัน เบาหวาน ก็ให้สันนิษฐานได้เลยว่าร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพและควรดูแลตัวเองเป็นการด่วน

 

โรคภัยที่มักเกิดกับคนวัยเสื่อม

ความเสื่อมของร่างกาย มักนำพาโรคภัยไข้เจ็บมากมายมาสู่เรา เป็นต้นว่า โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน สมองเสื่อม ซึ่งบางโรคอาจมีความรุนแรงถึงขนาดต้องกินยาตลอดชีวิต กระนั้นผู้สูงวัยก็ยังต้องระวังภาวะอื่นๆ อีกหลายอย่างที่ตามมา ดังนี้

 

หูตึง

ความเสื่อมของหูเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการรับรู้ข่าวสารรอบตัว แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่สูญเสียการได้ยินโดยสิ้นเชิง แต่ก็ส่งผลให้เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตโดยรวมเช่นกัน โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่หลังจากอายุ 60 ปี สมรรถภาพในการได้ยินของหูจะลดลงเรื่อยๆ

สาเหตุ สำคัญที่ทำให้หูหนวกถาวร ได้แก่ ความเสื่อมตามอายุ การรับฟังเสียงระดับสูงกว่า 85 เดซิเบลนานเกินไป เสียงที่ดังมากจะทำให้ปลายประสาทหูถูกทำลาย การได้ยินเสียงที่ดังมากทันทีติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น ที่ทำงานที่มีเสียงดัง ในคอนเสิร์ต ฯลฯ

การป้องกัน สำหรับคนชราที่หูเสื่อมตามอายุ สามารถป้องกันอาการหูตึงโดยการปรับเปลี่ยนอาหารการกิน กล่าวคือ กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ กินธัญพืช ผักและผลไม้ให้มาก งดแป้งขัดขาว จำกัดปริมาณน้ำตาล และออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน

รูปภาพจาก pixels

 

นอกจากนั้นต้องพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีเสียงดังมากกะทันหันหรือดังต่อเนื่องนานๆ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ใช้ที่อุดหูหรืออุปกรณ์ป้องกันอย่างอื่นเพื่อปกป้องหู

 

กระดูกพรุน

มักเกิดกับคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และเปลี่ยนแปลงตามอายุ โดยจะพรุนเพิ่มขึ้นประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ทุกปี ในช่วงตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป กระดูกของคนเราจะถูกทำลายมากกว่าสร้างใหม่ประมาณร้อยละ 1 ต่อปี ผู้หญิงอาจเริ่มตรวจพบกระดูกพรุนตั้งแต่อายุ 45 ปี หรือหลังจากหมดประจำเดือน 5 – 10 ปี เนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งทำหน้าที่พยุงความหนาแน่นของกระดูก

รูปภาพจาก pixels

 

สาเหตุและอาการ ภาวะกระดูกพรุนส่วนใหญ่พบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน มักมีสาเหตุมาจากการใช้ยาสเตียรอยด์ ขาดการออกกำลังกาย หรือภาวะโภชนาการไม่ดี โดยปกติกระดูกพรุนจะไม่มีอาการ ส่วนใหญ่รู้ว่าเป็นโรคนี้ต่อเมื่อล้มแล้วกระดูกหักเท่านั้น แต่บางครั้งอาจพบอาการปวดหลังได้ ถ้ากระดูกสันหลังอ่อนแอและยุบตัวลง สัญญาณอื่นๆ ที่บ่งบอกอาการ ได้แก่ ฟันโยก ตัวเตี้ยลง และหลังโค้งงอ ไหล่งุ้ม หรืออาจตรวจร่างกายโดยใช้เครื่องสแกนกระดูก ซึ่งบอกความรุนแรงของภาวะกระดูกพรุนได้

การป้องกัน ควรกินผักผลไม้ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองให้มากขึ้น เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีฮอร์โมนพืชที่มีคุณสมบัติคล้ายเอสโตรเจน จึงช่วยชดเชยระดับเอสโตรเจนในร่างกาย
ควรกินอาหารที่มีเกลือแร่ให้มากพอ เพื่อให้กระดูกแข็งแรง นอกจากแคลเซียมแล้ว ยังมีเกลือแร่ตัวอื่นที่เป็นส่วนประกอบของกระดูก เช่น โบรอน ทองแดง แมกนีเซียม แมงกานีส ซิลิคอน และสังกะสี สำหรับผู้หญิงทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้กินแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 1,000 มิลลิกรัม และออกกำลังกายสม่ำเสมอ

 

รูปภาพจาก pixels

 

กลุ่มคนที่ต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติ ได้แก่ วัยรุ่น หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมลูก หญิงวัยหมดประจำเดือน และผู้ชายสูงอายุ ให้กินวันละ 1,200 มิลลิกรัม แหล่งแคลเซียม ได้แก่ โยเกิร์ต ผักใบเขียวต่างๆ เช่น คะน้า ผักกาดเขียว ผักกวางตุ้ง ถั่ว แครอท อัลมอนด์ และปลาที่กินได้ทั้งก้าง

 

รูปภาพจาก pixels

 

เพิ่มอาหารที่อุดมด้วยสังกะสี เช่น อาหารทะเล ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืช ผักกินหัว เพราะสังกะสีจะช่วยผลิตโปรตีนในกระดูกและกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งจำเป็นต่อการดูดซึมแคลเซียม

 

รูปภาพจาก pixels

 

กินอาหารที่มีวิตามินเอ ซี เค โดยเฉพาะวิตามินดี ซึ่งควรรับแสงอาทิตย์ยามเช้าทุกวัน หรือถ้าไม่มีโอกาสสัมผัสแสงอาทิตย์ ควรกินวิตามินชนิดเม็ดวันละ 400 มิลลิกรัม

 

รูปภาพจาก pixels

 

ลดการดื่มแอลกอฮอล์ เกลือ กาเฟอีน การสูบบุหรี่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโทษต่อกระดูกทั้งสิ้น โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ มีงานวิจัยพบว่า คนที่กินเนื้อจะเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่าคนกินมังสวิรัติ

 

รูปภาพจาก pixels

 

โรคของหลอดเลือดแดง

โรคหลอดเลือดแดงทำให้มีเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อลดลง และอาจทำให้เลือดออกภายใน โรคนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการทางหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันเลือดสูง เจ็บหน้าอก หัวใจวาย ปวดขาขณะเดิน มือเท้าและจมูกเย็นผิดปกติ ความผิดปกติเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน ความจำเสื่อมและสับสน

 

รูปภาพจาก pixels

 

สาเหตุ เกิดจากหลายประการ คือ เยื่อบุหลอดเลือดแดงระคายเคือง ซึ่งมาจากไขมันในเลือดสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง การสูบบุหรี่

 

รูปภาพจาก pixels

 

หลอดเลือดแดงแข็งตัว เพราะความดันเลือดสูง การสูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย
เลือดข้น เพราะไม่ออกกำลัง การติดเชื้อ อากาศหนาว หรือกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง
กล้ามเนื้อของหลอดเลือดแดงไวเกินไป เพราะความเครียด อากาศเย็น สูบบุหรี่จัด การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน การได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ หรือกินไขมันมากเกินไป

การป้องกัน ทำได้โดย การเลิกบุหรี่ ถ้ายังเลิกไม่ได้เด็ดขาด ให้กินอาหารที่มีวิตามินซีและอีให้มาก
พยายามอย่าอยู่เฉย อย่างน้อยควรเดินวันละ 3 กิโลเมตร หรือทำงานบ้านที่ออกแรงพอควร จะช่วยให้ร่างกายกระฉับกระเฉงและมีพลังในการต่อสู้
ขจัดความเครียด โดยการหาเวลาผ่อนคลายกายและใจทุกวัน เช่น พบปะเพื่อนฝูง หรือหางานอดิเรกต่างๆ ไม่ว่าจะลองหัดทำอาหารแปลกใหม่ ทำสวน ทำสมาธิ โยคะ ฯลฯ

กินอาหารไขมันสูง เสี่ยงโรคหลอดเลือดแดง อาจทำให้เกิดอาการหัวใจวาย

กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยหลีกเลี่ยงการกินมากเกินไป และจำกัดอาหารที่มีไขมันสัตว์ ควรกินอาหารที่มีผลดีกับหลอดเลือดแดง เช่น ถั่วเปลือกแข็ง ธัญพืชไม่ขัดขาว เมล็ดพืช น้ำมันมะกอก เมล็ดฟักทอง ข้าวโอ๊ต แอ๊ปเปิ้ล และปลาชนิดต่างๆ

 

รูปภาพจาก pixels

 

ควบคุมน้ำหนัก อย่าสัมผัสอากาศเย็นจัด สังเกตลมหายใจ ไม่ควรหายใจเร็วเกินไป เพราะจะทำให้เลือดมีภาวะเป็นด่าง ซึ่งทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถส่งออกซิเจนให้แก่เซลล์ของผนังหลอดเลือดได้อย่างเพียงพอ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก goodlifeupdate

สนับสนุนข้อมูล คอลัมน์เรื่องพิเศษ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 165